GreenVCI : Stress Corrosion Cracking

Stress Corrosion Cracking (SCC) คืออะไร

Stress Corrosion Cracking (SCC) คือ กระบวนการที่โลหะ (โดยเฉพาะโลหะผสมที่ไวต่อปัญหานี้) เกิด รอยร้าวเล็ก ๆ แล้วแผ่ขยาย เข้าไปภายในเนื้อโลหะ เมื่อโลหะนั้นได้รับแรงดึง (tensile stress) พร้อมกับถูกแช่หรือสัมผัสกับสารเคมี / สภาพแวดล้อมกัดกร่อนบางอย่างพร้อมกัน

  • รอยร้าวอาจแทรกผ่าน “ขอบเกรน” (intergranular) หรือลัดผ่าน “เนื้อเกรน” (transgranular) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดโลหะและเงื่อนไขต่าง ๆ
  • จุดที่สำคัญ : โลหะอาจดูภายนอก “ปกติ” ไม่มีสนิมหรือผุกร่อนชัดเจน แต่ภายในอาจมีรอยร้าวลึกที่พร้อมจะแตกหักโดยไม่แจ้งสัญญาณเตือนชัดเจนก่อนหน้า

สั้น ๆ คือ SCC เป็น “ศัตรูเงียบ” โลหะอาจดูดี แต่ภายในอาจแตกร้าวจนพังโดยไม่รู้ตัว

Read More

GreenVCI : ความหนาของแผ่นฟิล์ม VCI สำคัญอย่างไร?

vci film thickness

ความหนาของแผ่นฟิล์ม VCI สำคัญอย่างไร?

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ แผ่นฟิล์ม VCI กันก่อนนะ

  • VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) คือ สารยับยั้งการกัดกร่อนแบบระเหย
  • แผ่นฟิล์ม VCI คือ พลาสติกห่อหุ้มที่ถูกผสมสารพิเศษ ที่จะปล่อยไอระเหยออกมาเคลือบผิวโลหะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิม หรือการกัดกร่อนระหว่างการขนส่ง หรือการจัดเก็บ (คล้ายกับการสร้างเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นให้ชิ้นส่วนโลหะ)

💡 ทำไมความหนาถึงสำคัญ?

ความหนาของแผ่นฟิล์ม VCI ไม่ได้แค่ทำให้ฟิล์มเหนียวขึ้นเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนด ประสิทธิภาพ และ ความเหมาะสม ในการใช้งาน:

  1. ความทนทาน : ฟิล์มที่หนาขึ้นจะมีความทนทานต่อการฉีกขาดหรือทะลุได้ดีกว่า เหมาะสำหรับห่อหุ้มสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขอบคม
  2. ระยะเวลาการป้องกัน : โดยทั่วไป ฟิล์มที่หนาขึ้นจะสามารถให้การป้องกันสนิมได้ยาวนานขึ้น และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ดีกว่า
  3. ความคุ้มค่า : การเลือกความหนาที่เหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องใช้ฟิล์มที่หนาเกินความจำเป็น

ข้อสังเกตุ

  • ถ้าฟิล์มบางเกินไป อาจ ปล่อยสาร VCI น้อย หรือ เป็นเกราะกั้นความชื้น/อากาศ ได้น้อย ทำให้โอกาสที่โลหะจะโดนสนิมสูงขึ้น
  • ถ้าฟิล์มหนาเกินไป แม้จะให้การป้องกันได้สูงขึ้น แต่ก็อาจ เพิ่มต้นทุนวัสดุ, น้ำหนัก หรืออาจมีผลต่อการใช้งาน เช่น ม้วนยากขึ้น หรือบางทีไม่ได้เหมาะกับงานบางประเภท

ช่วงความหนาที่ใช้บ่อยและเหมาะกับงานแบบไหน

  • 10-30 µm : เหมาะกับงานที่ต้องการเบา ใช้วัสดุน้อย หรือเป็นงานที่อาจเปลี่ยนบ่อย หรือสภาพแวดล้อมไม่แย่มาก
  • 70-90 µm : เหมาะกับงานที่มีความต้องการ “ปกป้องมากขึ้น” เช่น งานเก็บระยะกลาง, สภาพแวดล้อมอาจมีความชื้น/อากาศเข้าถึงได้มากกว่า
  • 100+ µm : เหมาะกับงานหนัก งานเก็บระยะยาว หรืองานที่โลหะมีมูลค่าสูงหรือเสียหายได้มากหากเกิดสนิม

ข้อแนะนำ/สรุป

  • เลือกความหนาของ VCI ฟิล์ม ให้เหมาะกับงาน: ต้องดูว่าโลหะนั้นจะเก็บ/ขนย้าย/ใช้งานนานแค่ไหน, สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร (มีความชื้น / อากาศ / การขนส่งมากหรือน้อย)
  • ควรดู “คำแนะนำจากผู้ผลิต” เป็นหลัก เพราะผู้ผลิตจะรู้สูตร VCI, วัสดุฟิล์ม, เงื่อนไขการใช้งาน
  • ควรมีการ “ตรวจวัด/ทดสอบ” บ้างว่า ฟิล์มที่ใช้จริง ให้การปกป้องได้ตามที่ต้องการหรือไม่
  • อย่าคิดว่าเลือกความหนามากที่สุดแล้วจะดีที่สุดเสมอไป — อาจจะเกินความจำเป็น หรือเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/vci-film-thickness/

GreenVCI : การกัดกร่อนแบบหลุม (Pitting Corrosion)

การกัดกร่อนแบบหลุม (Pitting Corrosion)

การกัดกร่อนแบบหลุม (pitting corrosion) เป็นรูปแบบหนึ่งของการกัดกร่อนที่ เฉพาะจุดมาก ซึ่งมักเกิดบนโลหะ แล้วสร้างหลุม หรือรูเล็ก ๆ บนพื้นผิว ถึงแม้พื้นผิวนอกอาจดูปกติอยู่ แต่ภายในมีความเสียหายลุกลามได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างจากการกัดกร่อนแบบทั่วไป (uniform corrosion) ที่เกิดทั่วทั้งพื้นผิว การกัดกร่อนแบบหลุมนี้จะยากตรวจจับและอันตรายมากกว่า


นิยามของ Pitting Corrosion

  • Pitting corrosion คือ การกัดกร่อนโลหะในจุดเล็กๆ โดยทำให้เกิดหลุมหรือรูบนผิวโลหะ ซึ่งอาจแทรกซึมลงไปลึกภายในวัสดุ
  • มักเกิดกับโลหะที่เรียกว่า passive metals (โลหะที่มีชั้นออกไซด์ปกป้องตัวเอง เช่น สเตนเลส, อลูมิเนียม) โดยเมื่อชั้นป้องกันถูกทำลายหรือถูกกัดกร่อน มันจะกลายเป็นจุดอ่อนให้เกิดหลุมขึ้น
  • จุดที่ถูกกัดกร่อนอาจดูเล็กน้อย แต่ในเนื้อโลหะภายในอาจถูกกัดกร่อนได้อย่างมากโดยไม่รู้ตัว

🔍 สาเหตุของ Pitting Corrosion

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดและเร่งการกัดกร่อนแบบหลุม ได้แก่

  • ไอออนคลอไรด์ (Chloride ions) — มักพบในน้ำทะเล หรือสภาพแวดล้อมที่มีเกลือสูง ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปทำลายชั้นป้องกันออกไซด์ได้
  • สภาพเป็นกรดหรือค่าพีเอชต่ำ (Acidic environment) — เมื่อโลหะอยู่ในสภาพที่มีความเป็นกรดสูง จะเร่งการกัดกร่อนแบบเฉพาะจุด
  • พื้นที่ที่มีออกซิเจนจำกัด (Oxygen depletion) — เช่นในซอกหรือใต้ชั้นฟิล์มที่ถูกปิด ทำให้เกิดภาวะที่จุดนั้นเป็นขั้วบวก (anode) และเริ่มกัดกร่อน
  • อุณหภูมิที่สูง (Higher temperatures) — ทำให้ปฏิกิริยาเคมีและการเคลื่อนที่ของไอออนเร็วขึ้น
  • รอยร้าว ขีดข่วน หรือข้อบกพร่องบนพื้นผิวโลหะ (Surface defects) — จุดเหล่านี้ทำให้ชั้นป้องกันแตก และเป็นจุดเริ่มของการกัดกร่อนแบบหลุม

🧨 ผลกระทบของ Pitting Corrosion

เมื่อเกิดขึ้น ผลกระทบอาจร้ายแรง ดังนี้

  • ความแข็งแรงของโครงสร้างลดลง เพราะหลุมแม้เล็ก ๆ แต่ลึกลงในโลหะ อาจทำให้เกิดการรั่วไหล หรือแตกหัก
  • อายุการใช้งานของชิ้นส่วนโลหะสั้นลง เพราะถูกกัดกร่อนภายในอย่างรวดเร็ว
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น น้ำมัน / ก๊าซ, อากาศยาน หรือโครงสร้างพื้นฐาน
  • ต้นทุนซ่อมบำรุงและเปลี่ยนชิ้นส่วนสูงขึ้น เพราะอาการไม่ปรากฏชัดเจนก่อนจนเกิดความเสียหายมากแล้ว

🛡️ การป้องกันด้วยเทคโนโลยี VCI

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพ คือ การใช้เทคโนโลยี VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) ซึ่งสารนี้จะระเหยและสร้างชั้นฟิล์มบางๆ บนพื้นผิวโลหะ เพื่อยับยั้งการกัดกร่อนแบบหลุม

  • สาร VCI จะปล่อยโมเลกุลระเหยออกมาในอากาศ และเคลื่อนที่ไปเกาะบนโลหะที่อาจถูกกัดกร่อน
  • ช่วยป้องกันตัวแปรที่กระตุ้น pitting เช่น ความชื้น, คลอไรด์, ออกซิเจน

ข้อดีของการใช้ VCI จาก GreenVCI ได้แก่:

  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (eco-friendly) เพราะบางสูตรไม่มีพิษ
  • ใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ใช้โลหะหลายชนิด
  • ลดต้นทุนระยะยาว เพราะช่วยลดการซ่อมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วน

📝 สรุป

การกัดกร่อนแบบหลุม (pitting corrosion) เป็น “ศัตรูเงียบ” ของโลหะ เพราะอาจเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และทำลายส่วนลึกของวัสดุในจุดเล็กๆ ที่มองไม่เห็นได้ง่าย แต่หากเราเข้าใจสาเหตุ และเริ่มป้องกันตั้งแต่ต้น ด้วยวิธีเช่น VCI ก็จะลดความเสี่ยงและเพิ่มอายุการใช้งานของชิ้นส่วนโลหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/pitting-corrosion/

GreenVCI : การกัดกร่อนแบบรอยแยก (Crevice Corrosion)

การกัดกร่อนแบบรอยแยก (Crevice Corrosion)

การกัดกร่อนแบบรอยแยก (crevice corrosion) คือ รูปแบบหนึ่งของการกัดกร่อนเฉพาะจุด ที่มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีช่องว่างแคบ หรือซอกที่ถูกปิดทึบ เช่น รอยต่อของชิ้นส่วนโลหะ ฝา ปะเก็น (gasket) หรือบริเวณใต้ชั้นตะกอนต่างๆ ในโลหะ เมื่ออากาศ (ออกซิเจน) เข้าไม่ถึงอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดสภาวะที่โลหะถูกกัดกร่อนได้เร็วกว่า (ในขณะที่ส่วนที่อยู่ภายนอกยังถูกปกป้องอยู่) ต่างจากการกัดกร่อนแบบทั่วไปที่เกิดทั่วทั้งพื้นผิวโลหะ การกัดกร่อนแบบซอกนั้นจะซ่อนตัวอยู่ในจุดที่มองไม่เห็นได้ง่าย และอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิดได้หากไม่ตรวจสอบอย่างดี


1. นิยามของ Crevice Corrosion

  • เป็นการกัดกร่อนเฉพาะจุดที่เกิดภายในซอก ช่องว่าง หรือรอยต่อของโลหะ เช่น ระหว่างชิ้นส่วนที่ประกบกัน ใต้ฝาปิด ใต้ปะเก็น (gasket) หรือที่มีตะกอนสะสม
  • จุดเริ่มต้นมักเล็กมาก (บางครั้งเป็นไมโครเมตร) แต่เมื่อเกิดแล้วอัตราการสูญเสียโลหะอาจสูงมาก
  • พื้นที่ที่มีการไหลของอากาศ (ออกซิเจน) ถูกจำกัด ทำให้เกิดเซลล์การกัดกร่อนแบบต่างศักย์อากาศ (differential aeration cell) จากการสัมผัสกันของวัสดุโลหะสองชนิดที่มีศักย์ไฟฟ้าแตกต่างกัน

2. สาเหตุของ Crevice Corrosion

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดและเร่งการกัดกร่อนแบบนี้ ได้แก่

  • การเข้าออกของออกซิเจนถูกจำกัด : ช่องแคบหรือซอกที่ถูกปิด ทำให้ออกซิเจนเข้าไม่ถึง ทำให้บริเวณภายในกลายเป็นขั้วบวก (anode) และถูกกัดกร่อน
  • ความชื้นและสิ่งสกปรกสะสม : น้ำ เกลือ หรือสิ่งปนเปื้อนอื่น ๆ ที่อยู่ในซอกจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมีได้เร็วขึ้น
  • วัสดุของโลหะ : โลหะที่สร้างชั้นป้องกันตัวเอง (passive film) อย่างสเตนเลส หรืออลูมิเนียม เมื่ออยู่ในซอกที่ออกซิเจนลดลง ชั้นป้องกันอาจสลายตัวได้ง่าย
  • อุณหภูมิสูง : อุณหภูมิที่สูงจะเพิ่มความเร็วของปฏิกิริยาเคมีและการเคลื่อนที่ของไอออนในซอก
  • การออกแบบที่ไม่ดี / รอยต่อ : รอยต่อ แนวประกบ ข้อต่อที่ออกแบบไม่เหมาะสม ทำให้เกิดซอกหรือช่องเล็ก ๆ ที่จับน้ำหรือสิ่งปนเปื้อนได้ง่าย

3. ผลกระทบจาก Crevice Corrosion

ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้มีดังนี้

  • โครงสร้างถูกทำลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในจุดที่ซ่อนอยู่ เช่น ท่อหรือรอยต่อ ทำให้เกิดการรั่ว, แตกร้าว หรือความแข็งแรงลดลง
  • อายุการใช้งานสั้นลง เพราะชิ้นส่วนถูกกัดกร่อนเร็วขึ้น
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทะเล, เคมี หรือโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีซอกและรอยต่อจำนวนมาก
  • ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม ตรวจสอบเพิ่ม และหยุดการผลิตได้
  • อาจเกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม หากอุปกรณ์รั่วหรือแตกในพื้นที่เสี่ยง

4. การป้องกันด้วยเทคโนโลยี VCI

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพ คือ การใช้เทคโนโลยี VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) ซึ่งสารจะระเหยจะแพร่เข้าไปในซอก ช่องว่าง เพื่อสร้างชั้นฟิล์มบางๆ บนพื้นผิวโลหะ ทำให้ช่วยยับยั้งการกัดกร่อนแบบซอก

ข้อได้เปรียบของ VCI ได้แก่

  • ลดต้นทุนซ่อมบำรุงได้ เพราะสามารถป้องกันล่วงหน้า
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ในกรณีของ GreenVCI) เพราะเน้นสูตรที่ย่อยสลายได้และไม่มีสารอันตราย
  • ใช้ได้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น ยานยนต์ แท่นขุดเจาะกลางทะเล เครื่องจักรกลหนัก เพราะสามารถครอบคลุมซอกที่เข้าถึงยาก

5. สรุป

การกัดกร่อนแบบซอก (crevice corrosion) เป็นภัยเงียบที่มักเกิดในจุดที่มองไม่เห็น และเมื่อเกิดแล้วอาจพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเข้าใจสาเหตุและวิธีป้องกันได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก การเลือกใช้เทคโนโลยี VCI ในจุดที่ซอก ช่องว่าง รอยต่อ หรือรอยแยกต่างๆ ถือว่าเป็นการเลือกที่คุ้มค่า เพื่อปกป้องโลหะและยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/crevice-corrosion

GreenVCI : เทคโนโลยี VCI กำเนิดจากสงคราม สู่การอนุรักษ์อุตสาหกรรม


Built for Warzones, Engineered for Preservation

The origin of VCI technology traces back to World War II, when the U.S. military faced massive corrosion losses during overseas transport of naval equipment. This challenge led to the development of the first nitrite-based VCI products, applied to kraft paper, cloth, and cardboard to protect metal assets during shipment and storage. These early innovations laid the foundation for the global VCI industry.

Today, the U.S. Department of Defense (DoD) MIL-SPEC standards remain the benchmark for corrosion protection and are applied across a wide range of military-grade VCI packaging materials.

Continue reading GreenVCI : เทคโนโลยี VCI กำเนิดจากสงคราม สู่การอนุรักษ์อุตสาหกรรม

GreenVCI : VCI จะปกป้องได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อปิดคลุมมิดชิด

VCI จะปกป้องได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อปิดคลุมมิดชิด

การใช้แผ่นชีทหรือถุง VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) เพื่อป้องกันสนิมนั้น หลักการทำงานคือ สาร VCI จะระเหยออกมาเป็นไอ แล้วกระจายไปเคลือบผิวโลหะ ทำให้ชิ้นงานไม่สัมผัสกับความชื้นและอากาศโดยตรง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้อง “ปิดคลุมให้มิดชิด”


หากคลุมเพียงบางส่วนหรือปล่อยให้มีช่องว่าง อากาศจากภายนอกจะไหลเข้าออกตลอดเวลา สาร VCI ที่ระเหยออกมาก็จะกระจายออกไป ทำให้การป้องกันสนิมไม่ต่อเนื่อง โลหะจึงยังเสี่ยงต่อการเกิดสนิมได้ ดังที่เห็นในภาพตัวอย่างแรก

ในทางตรงกันข้าม หากปิดคลุมอย่างถูกวิธี เช่น ใช้ถุง VCI แบบทรงสี่เหลี่ยมคลุมพาเลทจนมิดชิด และเสริมด้วยการแทรกกระดาษ VCI ระหว่างชั้นของชิ้นงาน สาร VCI จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กระจายตัวทั่วทั้งบรรจุภัณฑ์ และปกป้องโลหะทุกชิ้นได้อย่างมั่นใจตลอดระยะเวลาการจัดเก็บและขนส่ง

GreenVCI : ถุงพลาสติกกันสนิม กับการใช้งานเครื่องสูญญากาศ 

ถุงพลาสติกกันสนิม หรือ VCI Bag (Volatile Corrosion Inhibitor) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเกิดสนิมบนผิวโลหะ โดยสาร VCI ที่อยู่ในเนื้อถุงจะค่อย ๆ ระเหยออกมาเคลือบผิวชิ้นงาน ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ออกซิเจนและความชื้นสัมผัสกับโลหะโดยตรง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสนิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันกันสนิม และไม่ต้องเสียเวลาเช็ดทำความสะอาดก่อนนำชิ้นงานไปใช้งานต่อ

Continue reading GreenVCI : ถุงพลาสติกกันสนิม กับการใช้งานเครื่องสูญญากาศ 

GreenVCI : ทดลองประสิทธิภาพสารกันสนิมแบบลอกได้(GVL400) EP.1

GVL400 เป็นสารเคลือบกันสนิมแบบน้ำสูตรน้ำ ปลอดภัย ปราศจากสารไนไตรท์และแอมมีน ไม่ติดไฟ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเคลือบโลหะได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก เหล็กหล่อ สแตนเลส อะลูมิเนียม ทองแดง ทองเหลือง หรือผิวชุบสังกะสี

GVL400 ไม่ใช่แค่การปกป้อง แต่คือความมั่นใจ ว่าชิ้นส่วนของคุณจะถึงจุดหมายโดยปราศจากสนิม พร้อมใช้งานทันที

ติดต่อเราเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และเลือกโซลูชันที่เหมาะกับคุณ

สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

บริษัท กรีนวีซีไอ (ประเทศไทย)จำกัด

คุณเจษฎา (เจษ)
Mobile: 081-042-4988
LINE ID: @greenvci (มี @ ด้วยนะครับ)
Email: sales@greenvci.co.th
https://www.greenvci.co.th
@greenvci

GreenVCI : การเก็บรักษาม้วนเหล็กคอยล์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความเสียหายและสนิม

การเก็บรักษาม้วนเหล็กคอยล์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความเสียหายและสนิม

ม้วนเหล็กคอยล์ (Steel Coil) เป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะ ซึ่งถูกนำไปใช้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า และงานโครงสร้างต่าง ๆ จุดสำคัญที่ผู้ผลิตและผู้ใช้งานต้องให้ความใส่ใจ คือ การจัดเก็บและป้องกันการเกิดสนิม เพราะหากม้วนเหล็กคอยล์เกิดการกัดกร่อน จะสร้างความเสียหายทั้งในด้านคุณภาพและต้นทุนการผลิต

Continue reading GreenVCI : การเก็บรักษาม้วนเหล็กคอยล์อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความเสียหายและสนิม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save