GreenVCI : Stress Corrosion Cracking

Stress Corrosion Cracking (SCC) คืออะไร

Stress Corrosion Cracking (SCC) คือ กระบวนการที่โลหะ (โดยเฉพาะโลหะผสมที่ไวต่อปัญหานี้) เกิด รอยร้าวเล็ก ๆ แล้วแผ่ขยาย เข้าไปภายในเนื้อโลหะ เมื่อโลหะนั้นได้รับแรงดึง (tensile stress) พร้อมกับถูกแช่หรือสัมผัสกับสารเคมี / สภาพแวดล้อมกัดกร่อนบางอย่างพร้อมกัน

  • รอยร้าวอาจแทรกผ่าน “ขอบเกรน” (intergranular) หรือลัดผ่าน “เนื้อเกรน” (transgranular) ก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดโลหะและเงื่อนไขต่าง ๆ
  • จุดที่สำคัญ : โลหะอาจดูภายนอก “ปกติ” ไม่มีสนิมหรือผุกร่อนชัดเจน แต่ภายในอาจมีรอยร้าวลึกที่พร้อมจะแตกหักโดยไม่แจ้งสัญญาณเตือนชัดเจนก่อนหน้า

สั้น ๆ คือ SCC เป็น “ศัตรูเงียบ” โลหะอาจดูดี แต่ภายในอาจแตกร้าวจนพังโดยไม่รู้ตัว


ปัจจัยที่ทำให้เกิด SCC

SCC มักเกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัย 3 อย่างนี้พร้อมกัน : โลหะ (material) + แรงเค้น (stress) + สิ่งแวดล้อมกัดกร่อน (corrosive environment)

🔧 1. แรงดึง / แรงเค้น (Tensile Stress)

  • แรงอาจมาจากการใช้งานจริง (external load) หรือเป็น “แรงตกค้าง” (residual stress) ที่อยู่ในเนื้อโลหะ เช่น จากการเชื่อม, ดัด, ตัด, แผ่ความร้อน, เย็นตัวไม่สม่ำเสมอ ฯลฯ
  • โลหะที่ผ่านกระบวนการชนิด “cold work” หรือการแปรรูปที่ทำให้เกิดแรงตกค้างมักเสี่ยงกว่า

🧪 2. สิ่งแวดล้อมที่กัดกร่อนเฉพาะ (Corrosive medium / chemical environment)

  • สารในสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิด SCC ได้แก่ คลอไรด์ (chlorides เช่น น้ำทะเล), สารด่าง / สารกัดกร่อนอัลคาไล, แอมโมเนีย, สารประกอบกำมะถัน / ซัลไฟด์, หรือสารเคมีเฉพาะที่ขึ้นกับโลหะนั้น ๆ
  • อุณหภูมิสูง, pH ที่รุนแรง (สูงหรือต่ำ), และสารเจือปนในสภาพแวดล้อม (เช่น คลอไรด์, ซัลไฟด์, ไฮดรอกไซด์) เพิ่มโอกาสการเกิด SCC

🧰 3. โลหะที่ “ไว” ต่อ SCC (Susceptible Materials)

  • มักเป็นโลหะผสม เช่น สเตนเลสออสเทนนิติก (austenitic stainless steels), อะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มีความแข็งแรงสูง, โลหะบางชนิด เช่น ไทเทเนียมในสภาวะเฉพาะ
  • แม้โลหะที่ในสภาพปกติ “ทนต่อการกัดกร่อน” ได้ดี อาจยังเสียหายได้ถ้าเงื่อนไข SCC ครบถ้วน

นอกจากนี้ ลักษณะพื้นผิว เช่น รอยขีด, รอยเชื่อม, รอยดัดโค้ง, มุมแหลม, ขอบชิ้นงานเป็นจุดที่ความเค้นกระจุกตัว (stress concentrators) จึงมักเป็นตำแหน่งเริ่มต้นของรอยร้าวใน SCC


ผลกระทบของ SCC

เมื่อเกิด SCC แล้ว ผลเสียอาจรุนแรงและไม่คาดคิด :

  • โลหะอาจ แตกหักหรือรั่วซึมอย่างกะทันหัน โดยไม่มีสนิมหรือบวมให้เห็นก่อนหน้า
  • อายุการใช้งานของโครงสร้างหรือชิ้นส่วนลดลงอย่างมาก รอยร้าวเล็กๆ เมื่อสะสมอาจนำไปสู่ความเสียหายใหญ่ในระยะยาว
  • มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับแรงดัน เช่น ท่อ ส่งก๊าซ / น้ำมัน, ถังแรงดัน, โครงสร้างเครื่องจักร, สะพาน, เรือ, เครื่องบิน ฯลฯ
  • ค่าใช้จ่ายสูง ทั้งค่าซ่อมบำรุง, การตรวจสอบ, การเปลี่ยนวัสดุ, และผลเสียทางเศรษฐกิจหากเกิดความเสียหาย

วิธีป้องกัน / ลดความเสี่ยง SCC

ตามบทความของ GreenVCI มีข้อแนะนำดังนี้ :

  • ใช้เทคโนโลยี Volatile Corrosion Inhibitor (VCI) สารเคมีที่สามารถปล่อยโมเลกุลระเหย ไปจับผิวโลหะ สร้างชั้นป้องกัน และลดโอกาสให้สารกัดกร่อน และความเค้นทำปฏิกิริยาร่วมกันได้
  • เน้นการออกแบบโครงสร้างให้ดี : หลีกเลี่ยงมุมแหลม, จุดเก็บแรง, รอยเชื่อมที่อาจมีแรงตกค้าง, ลดรอบการดัด / ตัด /เชื่อม / แปรรูป ที่สร้างแรงเค้นสูง รวมถึงใช้วัสดุที่เหมาะกับสภาพแวดล้อม
  • ถ้าเป็นไปได้ : ลดหรือลบแรงตกค้าง (residual stress) หลังการผลิต เช่น ใช้กระบวนการคลายแรงเค้น (stress-relief), shot peening (ในบางกรณี) เพื่อทำให้พื้นผิวโลหะมีโครงสร้างที่ทนทานขึ้นต่อ SCC
  • ตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะถ้าผลิตภัณฑ์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยง เช่น มีคลอไรด์ น้ำเค็ม สารเคมี อุณหภูมิสูง ฯลฯ การตรวจจับรอยร้าวตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันความเสียหายใหญ่ได้

ทำไม SCC ถึงอันตรายกว่าการกัดกร่อนธรรมดา

  • เพราะ SCC ทำให้โลหะ แม้จะเป็นชนิดที่ “ทนต่อการกัดกร่อน” กลับแตกร้าวภายใน โดยไม่มีสัญญาณภายนอกที่ชัดเจน เช่น รอยสนิม หรือการเปลี่ยนรูปชิ้นงาน
  • รอยร้าวสามารถแทรกลึกเข้าไป และเมื่อเจอสภาวะที่เหมาะสม (แรง + สารกัดกร่อน + เวลา) ก็อาจ “พัง” ได้ทันที ทำให้เกิดความเสียหายแบบฉับพลัน (sudden failure) โดยไม่ทันระวัง
  • ทั้งนี้ SCC เป็นปัญหาร้ายแรงในหลายอุตสาหกรรม เช่น พลังงาน (โรงไฟฟ้า), น้ำมัน / ก๊าซ, อากาศยาน, โครงสร้างพื้นฐาน ที่ความเสียหายาจมีผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม

อ้างอิงข้อมูลจาก : https://greenvci.com/stress-corrosion-cracking/

GreenVCI : ความหนาของแผ่นฟิล์ม VCI สำคัญอย่างไร?

vci film thickness

ความหนาของแผ่นฟิล์ม VCI สำคัญอย่างไร?

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ แผ่นฟิล์ม VCI กันก่อนนะ

  • VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) คือ สารยับยั้งการกัดกร่อนแบบระเหย
  • แผ่นฟิล์ม VCI คือ พลาสติกห่อหุ้มที่ถูกผสมสารพิเศษ ที่จะปล่อยไอระเหยออกมาเคลือบผิวโลหะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสนิม หรือการกัดกร่อนระหว่างการขนส่ง หรือการจัดเก็บ (คล้ายกับการสร้างเกราะป้องกันที่มองไม่เห็นให้ชิ้นส่วนโลหะ)

💡 ทำไมความหนาถึงสำคัญ?

ความหนาของแผ่นฟิล์ม VCI ไม่ได้แค่ทำให้ฟิล์มเหนียวขึ้นเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนด ประสิทธิภาพ และ ความเหมาะสม ในการใช้งาน:

  1. ความทนทาน : ฟิล์มที่หนาขึ้นจะมีความทนทานต่อการฉีกขาดหรือทะลุได้ดีกว่า เหมาะสำหรับห่อหุ้มสินค้าที่มีน้ำหนักมากหรือมีขอบคม
  2. ระยะเวลาการป้องกัน : โดยทั่วไป ฟิล์มที่หนาขึ้นจะสามารถให้การป้องกันสนิมได้ยาวนานขึ้น และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ดีกว่า
  3. ความคุ้มค่า : การเลือกความหนาที่เหมาะสมจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยไม่ต้องใช้ฟิล์มที่หนาเกินความจำเป็น

ข้อสังเกตุ

  • ถ้าฟิล์มบางเกินไป อาจ ปล่อยสาร VCI น้อย หรือ เป็นเกราะกั้นความชื้น/อากาศ ได้น้อย ทำให้โอกาสที่โลหะจะโดนสนิมสูงขึ้น
  • ถ้าฟิล์มหนาเกินไป แม้จะให้การป้องกันได้สูงขึ้น แต่ก็อาจ เพิ่มต้นทุนวัสดุ, น้ำหนัก หรืออาจมีผลต่อการใช้งาน เช่น ม้วนยากขึ้น หรือบางทีไม่ได้เหมาะกับงานบางประเภท

ช่วงความหนาที่ใช้บ่อยและเหมาะกับงานแบบไหน

  • 10-30 µm : เหมาะกับงานที่ต้องการเบา ใช้วัสดุน้อย หรือเป็นงานที่อาจเปลี่ยนบ่อย หรือสภาพแวดล้อมไม่แย่มาก
  • 70-90 µm : เหมาะกับงานที่มีความต้องการ “ปกป้องมากขึ้น” เช่น งานเก็บระยะกลาง, สภาพแวดล้อมอาจมีความชื้น/อากาศเข้าถึงได้มากกว่า
  • 100+ µm : เหมาะกับงานหนัก งานเก็บระยะยาว หรืองานที่โลหะมีมูลค่าสูงหรือเสียหายได้มากหากเกิดสนิม

ข้อแนะนำ/สรุป

  • เลือกความหนาของ VCI ฟิล์ม ให้เหมาะกับงาน: ต้องดูว่าโลหะนั้นจะเก็บ/ขนย้าย/ใช้งานนานแค่ไหน, สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร (มีความชื้น / อากาศ / การขนส่งมากหรือน้อย)
  • ควรดู “คำแนะนำจากผู้ผลิต” เป็นหลัก เพราะผู้ผลิตจะรู้สูตร VCI, วัสดุฟิล์ม, เงื่อนไขการใช้งาน
  • ควรมีการ “ตรวจวัด/ทดสอบ” บ้างว่า ฟิล์มที่ใช้จริง ให้การปกป้องได้ตามที่ต้องการหรือไม่
  • อย่าคิดว่าเลือกความหนามากที่สุดแล้วจะดีที่สุดเสมอไป — อาจจะเกินความจำเป็น หรือเพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/vci-film-thickness/

GreenVCI : มือใหม่หัดขาย

GreenVCI บรรจุภัณฑ์ป้องกันสนิม

สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาคุยกันแบบง่ายๆ เลย สำหรับใครที่เป็น “มือใหม่หัดขาย” แล้วอยากรู้ว่า GreenVCI คืออะไร? ใช้ทำอะไร? แล้วมันดียังไง ทำไมหลายโรงงานถึงเลือกใช้กันเพียบ! มาดูกันเลยค่ะ 👇

🟢 GreenVCI คืออะไร?

GreenVCI คือ บรรจุภัณฑ์ป้องกันสนิม ที่ใช้เทคโนโลยี VCI – Vapor Corrosion Inhibitor พูดง่าย ๆ คือมันเป็นวัสดุที่ ปล่อยโมเลกุลป้องกันสนิมออกมาเคลือบผิวโลหะแบบมองไม่เห็น ช่วยป้องกันสนิมโดยที่ไม่ต้องทาน้ำมัน ไม่ต้องล้างหลังเปิดใช้งาน สะอาดและประหยัดแรงมาก ๆ

💚 ทำไมต้อง GreenVCI?

✔ ใช้งานง่าย: ห่อหรือใส่สินค้าโลหะลงไป… จบ! ไม่ต้องขั้นตอนยุ่งยาก
✔ ป้องกันสนิมได้จริง: ทั้งเหล็ก อลูมิเนียม ทองแดง อะไหล่ เครื่องจักร เครื่องมือ
✔ รักษ์โลกกว่า: เป็น VCI แบบ Green ปลอดภัยกว่า ลดสารเคมี ฟู้ดเกรดบางรุ่นก็มี
✔ ลดต้นทุน: ไม่ต้องทาน้ำมันกันสนิม ลดแรงงาน ลดของเสียหลังขนส่ง
✔ เหมาะกับโรงงานอุตสาหกรรมทุกแบบ: รถยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องจักร โลจิสติกส์ งานส่งออก ฯลฯ

Effective Storage of Steel Coils_1
เทคโนโลยี VCI กำเนิดจากสงคราม สู่การอนุรักษ์อุตสาหกรรม

📦 GreenVCI มีอะไรให้เลือกบ้าง?

อันนี้เลือกตามงานได้เลย

🔹 ถุง VCI – เหมาะกับอะไหล่ ขนาดเล็ก จนถึงชิ้นใหญ่

Effective Storage of Steel Coils_1

🔹 กระดาษ VCI – น้ำหนักเบา ใช้รอง ใช้ห่อ ใช้แทรกได้

VCI Paper-82gsm

🔹 แผ่นฟิล์ม/ม้วน VCI – ใช้ห่อสินค้าเป็นชุด ๆ

พลาสติกกันสนิม#สีชมพู

🔹 แผ่นดูดความชื้น + VCI ควบคู่ – กันชื้น + กันสนิม ครบสูตร
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเป็นงานโลหะ GreenVCI ดูแลให้ได้เกือบทุกอย่างเลย

VCI Desiccant Solution for Enging Preservation Air Force Engine

🚀 เหมาะกับใคร?

  • โรงงานผลิตชิ้นส่วนโลหะ
  • อะไหล่รถยนต์
  • โรงกลึง/โรงกลึง CNC
  • โรงงานส่งออกชิ้นส่วน
  • ร้านค้าเครื่องมือช่าง
    ใครที่ต้องขนส่ง เก็บสต๊อก หรือผลิตอะไหล่โลหะ… ใช้แล้ว “ปัญหาสนิมลดลงแบบเห็นได้ชัด”

🙋‍♂️ สรุป

จำไว้แค่ 3 ข้อนี้ได้เลย 👇

  1. ป้องกันสนิมแบบไม่ต้องทาน้ำมัน
  2. สะอาด ใช้ง่าย ประหยัดต้นทุน
  3. ปลอดภัยกว่า เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

แค่นี้ลูกค้าก็เริ่มสนใจแล้วค่ะ 👍

How-to-Protect-Postman-during-COVID-Pandemic-10
How-to-Protect-Postman-during-COVID-Pandemic-10

GreenVCI : การกัดกร่อนแบบหลุม (Pitting Corrosion)

การกัดกร่อนแบบหลุม (Pitting Corrosion)

การกัดกร่อนแบบหลุม (pitting corrosion) เป็นรูปแบบหนึ่งของการกัดกร่อนที่ เฉพาะจุดมาก ซึ่งมักเกิดบนโลหะ แล้วสร้างหลุม หรือรูเล็ก ๆ บนพื้นผิว ถึงแม้พื้นผิวนอกอาจดูปกติอยู่ แต่ภายในมีความเสียหายลุกลามได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างจากการกัดกร่อนแบบทั่วไป (uniform corrosion) ที่เกิดทั่วทั้งพื้นผิว การกัดกร่อนแบบหลุมนี้จะยากตรวจจับและอันตรายมากกว่า


นิยามของ Pitting Corrosion

  • Pitting corrosion คือ การกัดกร่อนโลหะในจุดเล็กๆ โดยทำให้เกิดหลุมหรือรูบนผิวโลหะ ซึ่งอาจแทรกซึมลงไปลึกภายในวัสดุ
  • มักเกิดกับโลหะที่เรียกว่า passive metals (โลหะที่มีชั้นออกไซด์ปกป้องตัวเอง เช่น สเตนเลส, อลูมิเนียม) โดยเมื่อชั้นป้องกันถูกทำลายหรือถูกกัดกร่อน มันจะกลายเป็นจุดอ่อนให้เกิดหลุมขึ้น
  • จุดที่ถูกกัดกร่อนอาจดูเล็กน้อย แต่ในเนื้อโลหะภายในอาจถูกกัดกร่อนได้อย่างมากโดยไม่รู้ตัว

🔍 สาเหตุของ Pitting Corrosion

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดและเร่งการกัดกร่อนแบบหลุม ได้แก่

  • ไอออนคลอไรด์ (Chloride ions) — มักพบในน้ำทะเล หรือสภาพแวดล้อมที่มีเกลือสูง ซึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปทำลายชั้นป้องกันออกไซด์ได้
  • สภาพเป็นกรดหรือค่าพีเอชต่ำ (Acidic environment) — เมื่อโลหะอยู่ในสภาพที่มีความเป็นกรดสูง จะเร่งการกัดกร่อนแบบเฉพาะจุด
  • พื้นที่ที่มีออกซิเจนจำกัด (Oxygen depletion) — เช่นในซอกหรือใต้ชั้นฟิล์มที่ถูกปิด ทำให้เกิดภาวะที่จุดนั้นเป็นขั้วบวก (anode) และเริ่มกัดกร่อน
  • อุณหภูมิที่สูง (Higher temperatures) — ทำให้ปฏิกิริยาเคมีและการเคลื่อนที่ของไอออนเร็วขึ้น
  • รอยร้าว ขีดข่วน หรือข้อบกพร่องบนพื้นผิวโลหะ (Surface defects) — จุดเหล่านี้ทำให้ชั้นป้องกันแตก และเป็นจุดเริ่มของการกัดกร่อนแบบหลุม

🧨 ผลกระทบของ Pitting Corrosion

เมื่อเกิดขึ้น ผลกระทบอาจร้ายแรง ดังนี้

  • ความแข็งแรงของโครงสร้างลดลง เพราะหลุมแม้เล็ก ๆ แต่ลึกลงในโลหะ อาจทำให้เกิดการรั่วไหล หรือแตกหัก
  • อายุการใช้งานของชิ้นส่วนโลหะสั้นลง เพราะถูกกัดกร่อนภายในอย่างรวดเร็ว
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น น้ำมัน / ก๊าซ, อากาศยาน หรือโครงสร้างพื้นฐาน
  • ต้นทุนซ่อมบำรุงและเปลี่ยนชิ้นส่วนสูงขึ้น เพราะอาการไม่ปรากฏชัดเจนก่อนจนเกิดความเสียหายมากแล้ว

🛡️ การป้องกันด้วยเทคโนโลยี VCI

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพ คือ การใช้เทคโนโลยี VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) ซึ่งสารนี้จะระเหยและสร้างชั้นฟิล์มบางๆ บนพื้นผิวโลหะ เพื่อยับยั้งการกัดกร่อนแบบหลุม

  • สาร VCI จะปล่อยโมเลกุลระเหยออกมาในอากาศ และเคลื่อนที่ไปเกาะบนโลหะที่อาจถูกกัดกร่อน
  • ช่วยป้องกันตัวแปรที่กระตุ้น pitting เช่น ความชื้น, คลอไรด์, ออกซิเจน

ข้อดีของการใช้ VCI จาก GreenVCI ได้แก่:

  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (eco-friendly) เพราะบางสูตรไม่มีพิษ
  • ใช้งานได้หลากหลาย เหมาะกับอุตสาหกรรมที่ใช้โลหะหลายชนิด
  • ลดต้นทุนระยะยาว เพราะช่วยลดการซ่อมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วน

📝 สรุป

การกัดกร่อนแบบหลุม (pitting corrosion) เป็น “ศัตรูเงียบ” ของโลหะ เพราะอาจเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และทำลายส่วนลึกของวัสดุในจุดเล็กๆ ที่มองไม่เห็นได้ง่าย แต่หากเราเข้าใจสาเหตุ และเริ่มป้องกันตั้งแต่ต้น ด้วยวิธีเช่น VCI ก็จะลดความเสี่ยงและเพิ่มอายุการใช้งานของชิ้นส่วนโลหะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/pitting-corrosion/

GreenVCI : การกัดกร่อนแบบรอยแยก (Crevice Corrosion)

การกัดกร่อนแบบรอยแยก (Crevice Corrosion)

การกัดกร่อนแบบรอยแยก (crevice corrosion) คือ รูปแบบหนึ่งของการกัดกร่อนเฉพาะจุด ที่มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีช่องว่างแคบ หรือซอกที่ถูกปิดทึบ เช่น รอยต่อของชิ้นส่วนโลหะ ฝา ปะเก็น (gasket) หรือบริเวณใต้ชั้นตะกอนต่างๆ ในโลหะ เมื่ออากาศ (ออกซิเจน) เข้าไม่ถึงอย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้เกิดสภาวะที่โลหะถูกกัดกร่อนได้เร็วกว่า (ในขณะที่ส่วนที่อยู่ภายนอกยังถูกปกป้องอยู่) ต่างจากการกัดกร่อนแบบทั่วไปที่เกิดทั่วทั้งพื้นผิวโลหะ การกัดกร่อนแบบซอกนั้นจะซ่อนตัวอยู่ในจุดที่มองไม่เห็นได้ง่าย และอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่คาดคิดได้หากไม่ตรวจสอบอย่างดี


1. นิยามของ Crevice Corrosion

  • เป็นการกัดกร่อนเฉพาะจุดที่เกิดภายในซอก ช่องว่าง หรือรอยต่อของโลหะ เช่น ระหว่างชิ้นส่วนที่ประกบกัน ใต้ฝาปิด ใต้ปะเก็น (gasket) หรือที่มีตะกอนสะสม
  • จุดเริ่มต้นมักเล็กมาก (บางครั้งเป็นไมโครเมตร) แต่เมื่อเกิดแล้วอัตราการสูญเสียโลหะอาจสูงมาก
  • พื้นที่ที่มีการไหลของอากาศ (ออกซิเจน) ถูกจำกัด ทำให้เกิดเซลล์การกัดกร่อนแบบต่างศักย์อากาศ (differential aeration cell) จากการสัมผัสกันของวัสดุโลหะสองชนิดที่มีศักย์ไฟฟ้าแตกต่างกัน

2. สาเหตุของ Crevice Corrosion

ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดและเร่งการกัดกร่อนแบบนี้ ได้แก่

  • การเข้าออกของออกซิเจนถูกจำกัด : ช่องแคบหรือซอกที่ถูกปิด ทำให้ออกซิเจนเข้าไม่ถึง ทำให้บริเวณภายในกลายเป็นขั้วบวก (anode) และถูกกัดกร่อน
  • ความชื้นและสิ่งสกปรกสะสม : น้ำ เกลือ หรือสิ่งปนเปื้อนอื่น ๆ ที่อยู่ในซอกจะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมีได้เร็วขึ้น
  • วัสดุของโลหะ : โลหะที่สร้างชั้นป้องกันตัวเอง (passive film) อย่างสเตนเลส หรืออลูมิเนียม เมื่ออยู่ในซอกที่ออกซิเจนลดลง ชั้นป้องกันอาจสลายตัวได้ง่าย
  • อุณหภูมิสูง : อุณหภูมิที่สูงจะเพิ่มความเร็วของปฏิกิริยาเคมีและการเคลื่อนที่ของไอออนในซอก
  • การออกแบบที่ไม่ดี / รอยต่อ : รอยต่อ แนวประกบ ข้อต่อที่ออกแบบไม่เหมาะสม ทำให้เกิดซอกหรือช่องเล็ก ๆ ที่จับน้ำหรือสิ่งปนเปื้อนได้ง่าย

3. ผลกระทบจาก Crevice Corrosion

ผลกระทบที่เกิดขึ้นได้มีดังนี้

  • โครงสร้างถูกทำลายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในจุดที่ซ่อนอยู่ เช่น ท่อหรือรอยต่อ ทำให้เกิดการรั่ว, แตกร้าว หรือความแข็งแรงลดลง
  • อายุการใช้งานสั้นลง เพราะชิ้นส่วนถูกกัดกร่อนเร็วขึ้น
  • ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมทะเล, เคมี หรือโครงสร้างพื้นฐาน ที่มีซอกและรอยต่อจำนวนมาก
  • ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม ตรวจสอบเพิ่ม และหยุดการผลิตได้
  • อาจเกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม หากอุปกรณ์รั่วหรือแตกในพื้นที่เสี่ยง

4. การป้องกันด้วยเทคโนโลยี VCI

หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพ คือ การใช้เทคโนโลยี VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) ซึ่งสารจะระเหยจะแพร่เข้าไปในซอก ช่องว่าง เพื่อสร้างชั้นฟิล์มบางๆ บนพื้นผิวโลหะ ทำให้ช่วยยับยั้งการกัดกร่อนแบบซอก

ข้อได้เปรียบของ VCI ได้แก่

  • ลดต้นทุนซ่อมบำรุงได้ เพราะสามารถป้องกันล่วงหน้า
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ในกรณีของ GreenVCI) เพราะเน้นสูตรที่ย่อยสลายได้และไม่มีสารอันตราย
  • ใช้ได้ในอุตสาหกรรมหลายประเภท เช่น ยานยนต์ แท่นขุดเจาะกลางทะเล เครื่องจักรกลหนัก เพราะสามารถครอบคลุมซอกที่เข้าถึงยาก

5. สรุป

การกัดกร่อนแบบซอก (crevice corrosion) เป็นภัยเงียบที่มักเกิดในจุดที่มองไม่เห็น และเมื่อเกิดแล้วอาจพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเข้าใจสาเหตุและวิธีป้องกันได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถลดความเสี่ยงได้อย่างมาก การเลือกใช้เทคโนโลยี VCI ในจุดที่ซอก ช่องว่าง รอยต่อ หรือรอยแยกต่างๆ ถือว่าเป็นการเลือกที่คุ้มค่า เพื่อปกป้องโลหะและยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/crevice-corrosion

GreenVCI : Erosion Corrosion คืออะไร

Erosion Corrosion คืออะไร

🔍 Erosion Corrosion คืออะไร

Erosion Corrosion คือ การกัดกร่อนจากการกัดเซาะ เป็นการเสื่อมสภาพของโลหะอย่างรวดเร็ว เกิดจากการทำงานร่วมกันของของ “แรงเสียดสีทางกล” และ “ปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี” ซึ่งทำให้พื้นผิวโลหะที่สัมผัสกับของเหลวหรือสารละลายที่เคลื่อนที่เร็ว โดยเฉพาะในระบบที่ของไหลเคลื่อนที่เร็ว เช่น ท่อ ปั๊ม หรือแลกเปลี่ยนความร้อน ของไหลที่พุ่งแรงจะทำฟิล์มออกไซด์ที่ป้องกันผิวโลหะถูกชะล้างออก พื้นผิวใหม่จึงถูกกัดกร่อนต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อโลหะต่างๆ เช่น เหล็กกล้าคาร์บอน เหล็กกล้าไร้สนิม และโลหะผสมทองแดง โดยทั่วไปแล้วจะเกิดในลักษณะเป็นพื้นผิวที่เรียบ เป็นหลุม หรือเป็นร่อง โดยความเสียหายจะกระจุกตัวอยู่ในบริเวณที่การไหลหยุดชะงัก และสามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็วหากไม่ได้รับการควบคุม


⚙️ สาเหตุหลัก

  • ความเร็วของของไหลสูง ทำให้ชั้นป้องกันหลุดออก
  • อนุภาคแขวนลอย เช่น ทรายหรือคราบตะกรัน ขูดผิวโลหะ
  • สารกัดกร่อน เช่น คลอไรด์หรือกรด เพิ่มการกัดกร่อนทางเคมี
  • อุณหภูมิสูง เร่งปฏิกิริยาและเพิ่มความรุนแรง
  • โครงสร้างของระบบ เช่น ท่อข้อศอก วาล์ว หรือใบพัด มีแนวโน้มที่จะเกิดการสึกหรอเร็วขึ้น

ผลกระทบ

  • ผนังท่อบางลง เสี่ยงต่อการรั่วหรือแตก
  • ประสิทธิภาพเครื่องจักรลดลง เช่น ปั๊มและเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน
  • อันตรายต่อความปลอดภัย — เสี่ยงการรั่วไหลหรือระเบิด
  • ต้นทุนบำรุงรักษาเพิ่มขึ้นจากการซ่อมและหยุดผลิต
  • ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากของไหลรั่วไหล

🛡️ การป้องกันด้วยเทคโนโลยี VCI

VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) คือสารที่ระเหยได้ซึ่งสร้างฟิล์มบางป้องกันการกัดกร่อนบนผิวโลหะ เหมาะสำหรับช่วงเก็บรักษา ขนส่ง หรือช่วงหยุดเครื่อง

GreenVCI พัฒนาสูตรสาร VCI ตั้งแต่ปี 1994 โดยใช้วัตถุดิบจากพืช ปลอดสารไนไตรต์ที่เป็นพิษ และย่อยสลายได้ ใช้ได้กับโลหะหลายชนิดในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ข้อดี:

  • ✅ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม — ย่อยสลายได้ ไม่เป็นพิษ ได้มาตรฐาน REACH และ food-grade
  • 🔧 ใช้ได้หลากหลาย — ทั้งในอุตสาหกรรมทางทะเล เครื่องจักกลหนัก และก่อสร้าง
  • 💰 ประหยัด — ลดต้นทุนระยะยาวและการบำรุงรักษา

        VCI ช่วยลดการกัดกร่อนหลายรูปแบบพร้อมกัน เช่น การกัดกร่อนแบบสม่ำเสมอ (uniform), การกัดกร่อนแบบรูพรุนหรือรอยแยก (pitting), การกัดกร่อนแบบรอยแยก (crevice) และ การกัดกร่อนแบบกัลวานิก (galvanic corrosion) เป็นการกัดกร่อนที่เกิดจากการสัมผัสกันของวัสดุโลหะสองชนิดซึ่งมีศักย์ไฟฟ้าแตกต่างกัน

(ลักษณะการกัดกร่อนในรูปแบบต่างๆ)


🧩 บทสรุป

การกัดกร่อนจากการกัดเซาะ (Erosion corrosion ) จำเป็นต้องอาศัยความระมัดระวัง เนื่องจากการกัดกร่อนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกิดจากกระบวนการไหล แต่การทำความเข้าใจถึงปัจจัยกระตุ้นและผลกระทบ จะนำไปสู่การป้องกันที่ดีได้ เลือกใช้นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีการผลิต VCI ของ GreenVCI เพื่อการปกป้องการกัดกร่อน และมุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มั่นใจว่าโครงสร้างพื้นฐานของคุณยังคงทนทานต่อการกัดกร่อน

อ้างอิงข้อมูลจาก https://greenvci.com/erosion-corrosion

GreenVCI : เทคโนโลยี VCI กำเนิดจากสงคราม สู่การอนุรักษ์อุตสาหกรรม


Built for Warzones, Engineered for Preservation

The origin of VCI technology traces back to World War II, when the U.S. military faced massive corrosion losses during overseas transport of naval equipment. This challenge led to the development of the first nitrite-based VCI products, applied to kraft paper, cloth, and cardboard to protect metal assets during shipment and storage. These early innovations laid the foundation for the global VCI industry.

Today, the U.S. Department of Defense (DoD) MIL-SPEC standards remain the benchmark for corrosion protection and are applied across a wide range of military-grade VCI packaging materials.

Continue reading GreenVCI : เทคโนโลยี VCI กำเนิดจากสงคราม สู่การอนุรักษ์อุตสาหกรรม

GreenVCI : Can Trust, It Can’t Rust

เพราะไอน้ำ…กลายเป็นเกราะป้องกันสนิมได้จริง

ในการจัดเก็บหรือขนส่งชิ้นส่วนโลหะ เช่น แบริ่ง (bearing), ชิ้นส่วนเครื่องจักร หรือชิ้นส่วนรถยนต์ การป้องกันสนิมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในสภาวะที่มีโอกาสเกิด “Container Rain” หรือฝนในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นเมื่อมีความต่างของอุณหภูมิระหว่างภายในและภายนอกตู้เรือ ส่งผลให้เกิดการควบแน่น (condensation) กลายเป็นหยดน้ำบนพื้นผิวของโลหะ

Continue reading GreenVCI : Can Trust, It Can’t Rust

GreenVCI : VCI จะปกป้องได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อปิดคลุมมิดชิด

VCI จะปกป้องได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อปิดคลุมมิดชิด

การใช้แผ่นชีทหรือถุง VCI (Volatile Corrosion Inhibitor) เพื่อป้องกันสนิมนั้น หลักการทำงานคือ สาร VCI จะระเหยออกมาเป็นไอ แล้วกระจายไปเคลือบผิวโลหะ ทำให้ชิ้นงานไม่สัมผัสกับความชื้นและอากาศโดยตรง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้อง “ปิดคลุมให้มิดชิด”


หากคลุมเพียงบางส่วนหรือปล่อยให้มีช่องว่าง อากาศจากภายนอกจะไหลเข้าออกตลอดเวลา สาร VCI ที่ระเหยออกมาก็จะกระจายออกไป ทำให้การป้องกันสนิมไม่ต่อเนื่อง โลหะจึงยังเสี่ยงต่อการเกิดสนิมได้ ดังที่เห็นในภาพตัวอย่างแรก

ในทางตรงกันข้าม หากปิดคลุมอย่างถูกวิธี เช่น ใช้ถุง VCI แบบทรงสี่เหลี่ยมคลุมพาเลทจนมิดชิด และเสริมด้วยการแทรกกระดาษ VCI ระหว่างชั้นของชิ้นงาน สาร VCI จะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ กระจายตัวทั่วทั้งบรรจุภัณฑ์ และปกป้องโลหะทุกชิ้นได้อย่างมั่นใจตลอดระยะเวลาการจัดเก็บและขนส่ง

GreenVCI : ถุงพลาสติกกันสนิม กับการใช้งานเครื่องสูญญากาศ 

ถุงพลาสติกกันสนิม หรือ VCI Bag (Volatile Corrosion Inhibitor) เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการเกิดสนิมบนผิวโลหะ โดยสาร VCI ที่อยู่ในเนื้อถุงจะค่อย ๆ ระเหยออกมาเคลือบผิวชิ้นงาน ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้ออกซิเจนและความชื้นสัมผัสกับโลหะโดยตรง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดสนิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังใช้งานง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันกันสนิม และไม่ต้องเสียเวลาเช็ดทำความสะอาดก่อนนำชิ้นงานไปใช้งานต่อ

Continue reading GreenVCI : ถุงพลาสติกกันสนิม กับการใช้งานเครื่องสูญญากาศ 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save